ใบตัดเหล็ก
23, Feb 2024
แนะนำสิ่งที่ควรรู้ 3 อย่าง ของการซื้อใบตัดเหล็ก ซื้ออย่างไรไม่ให้พลาด

ใบตัดเหล็ก โดยส่วนใหญ่มีการผลิตจากวัสดุเม็ดทรายอลูมิเนียมออกไซด์ชนิดพิเศษ หรือเรียกอีกอย่างคือใบตัดเหล็กวัสดุ A  สีของเม็ดทรายมีสีดำผสมกับน้ำตาล ให้คุณสมบัติในการตัดได้อย่างรวดเร็วเพราะ ใบตัดมีความแหลมคม ผิวด้านหน้าของการตัดมีความเรียบเนียน แบบไม่ทิ้งรอยไหม้

3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อใบตัดเหล็ก ทำแบบนี้ไม่พลาดแน่นอน

1.ตรวจสอบชนิดของเม็ดทราย

ก่อนอื่นเลยหากเราต้องการซื้อใบตัดเหล็ก ซื้ออย่างไรให้ได้คุณภาพ ใช้งานได้หลากหลายกับวัสดุ ควรตรวจสอบดูจากประเภทของเม็ดทราย เม็ดทรายของใบตัดเหล็กมีหลายชนิดหรือที่เรียกว่าเม็ดทรายอลูมิเนียมออกไซด์ มีให้เลือกดังนี้

  • เม็ดทรายชนิด A   มีส่วนผสมของอลูมิเนียมออกไซด์ มีสีดำผสมน้ำตาล ใช้ตัดอลูมิเนียมและสแตนเลส
  • เม็ดทรายชนิด AZ  มีส่วนผสมของเซลล์โครเมียมอลูมิเนียมออกไซด์ มีสีดำเทา สามารถตัดเหล็กชุบแข็งและสแตนเลสได้ดี
  • เม็ดทราย WA  มีส่วนผสมของไว้อลูมิเนียมออกไซด์ มีสีขาว สามารถตัดงานที่ผ่านการชุบแข็งได้ดี
  • เม็ดทราย C  มีส่วนผสมของซิลิกอนคาร์ไบด์ มีสีดำ สามารถตัดวัสดุในกลุ่มอโลหะได้ดี
  • เม็ดทราย GC  มีส่วนผสมของ Green silicon cabine  มีสีเขียวเข้ม สามารถตัดวัสดุประเภทคอนกรีต หินอ่อนและเซรามิคได้

2.ต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะภายนอก

การซื้อใบตัดเหล็กจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะภายนอก อาทิเช่นขนาดของรูแกนกลางของใบตัดเหล็ก ความหนาของใบตัดเหล็ก และเส้นผ่านศูนย์กลางรอบนอกของใบตัดเหล็ก เป็นต้น ซึ่งมันตามมาตรฐานของใบตัดเหล็กที่มีขนาด 4 นิ้ว จำเป็นต้องมี ความหนามากกว่า 1 มิลลิเมตรขึ้นไป มีเส้นผ่านศูนย์กลางของรู้แกนกลางของใบตัด  1 นิ้ว มีรัศมีรอบนอกระหว่างรูแกนกลางขนาดเท่ากัน ซึ่งลักษณะภายนอกทั้ง 3 อย่างนี้มีความสัมพันธ์กัน เมื่อนำไปประกอบใช้งานจะต้องไม่มีการสั่นสะท้าน จึงนำมาใช้งานได้

3. ประเภทของใบตัดเหล็กต้องมีสัญลักษณ์ Q 

ประเภทของใบตัดเหล็กเราสามารถสังเกตได้จากบริเวณด้านบนและด้านล่างของแผ่นใบตัดเหล็ก มีการออกแบบตามลักษณะการใช้งานเพื่อความแข็งแรง และประสิทธิภาพในด้านอื่นๆ โดยแบ่งออกเป็นใบตัดเหล็กประเภทแผ่นเรียบหรือแบน และใบตัดเหล็กประเภทนูน ซึ่งใบตัดเหล็กทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถทนต่อแรงกระแทก ประเภท Q ได้หรือมีความแข็งแรง ตามมาตรฐานที่กำหนดอย่างแน่นอน 

การนำไปใช้ประโยชน์สำหรับบทความนี้ มีผลต่อประเภทงานจัดซื้อจัดจ้าง จำเป็นต้องรู้สเปคของวัสดุอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะใบตัดเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในงานก่อสร้าง หากนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อใบตัดเหล็ก โดยใช้ข้ออ้างอิง 3 ข้อนี้ง่ายๆ สามารถช่วยเลือกวัสดุที่ดีและมีคุณภาพเพื่อนำมาใช้งานได้ต่อไป

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
8, Nov 2023
ภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล: ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วนของโลก ผู้นำจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพื่อนำองค์กรให้ประสบความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ผู้นำจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร

นอกจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีแล้ว ผู้นำยังต้องมีทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นในยุคดิจิทัล เช่น

  • ทักษะในการคิดวิเคราะห์ ผู้นำจำเป็นต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทักษะในการแก้ปัญหา ผู้นำจำเป็นต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
  • ทักษะในการคิดสร้างสรรค์ ผู้นำจำเป็นต้องสามารถคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาองค์กร
  • ทักษะในการปรับตัว ผู้นำจำเป็นต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ผู้นำในยุคดิจิทัลจึงต้องเป็นผู้ที่มีทักษะและความรู้รอบด้าน ที่สามารถนำองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและประสบความสำเร็จ

ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำในยุคดิจิทัล

1. ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

ผู้นำจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ผู้นำควรมี ได้แก่

  • ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เครือข่าย ซอฟต์แวร์
  • ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) หุ่นยนต์
  • ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เช่น บล็อกเชน คริปโตเคอเรนซี

ผู้นำสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทาง เช่น การเข้าอบรมสัมมนา การศึกษาด้วยตัวเองผ่านสื่อต่างๆ หรือการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

2. ทักษะในการคิดวิเคราะห์

ผู้นำจำเป็นต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะในการคิดวิเคราะห์ที่ผู้นำควรมี ได้แก่

  • ทักษะในการคิดเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ความสามารถในการคิดวางแผนและกำหนดทิศทางให้กับองค์กร
  • ทักษะในการคิดเชิงวิพากษ์ หมายถึง ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลและตรรกะ
  • ทักษะในการคิดเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหา

ผู้นำสามารถพัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กร การวางแผนกลยุทธ์ให้กับองค์กร

3. ทักษะในการแก้ปัญหา

ผู้นำจำเป็นต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ทักษะในการแก้ปัญหาที่ผู้นำควรมี ได้แก่

  • ทักษะในการระบุปัญหา หมายถึง ความสามารถในการระบุสาเหตุของปัญหา
  • ทักษะในการหาแนวทางแก้ไข หมายถึง ความสามารถในการคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา
  • ทักษะในการดำเนินการแก้ไข หมายถึง ความสามารถในการนำแนวทางแก้ไขไปปฏิบัติ

ผู้นำสามารถพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน การแก้ปัญหาให้กับลูกค้า

4. ทักษะในการคิดสร้างสรรค์

ผู้นำจำเป็นต้องสามารถคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาองค์กร ทักษะในการคิดสร้างสรรค์ที่ผู้นำควรมี ได้แก่

  • ทักษะในการคิดนอกกรอบ หมายถึง ความสามารถในการคิดนอกกรอบเดิมๆ เพื่อหาวิธีใหม่ๆ
  • ทักษะในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการคิดหาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผู้นำสามารถพัฒนาทักษะในการคิดสร้างสรรค์ได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย การคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้าหรือบริการ

5. ทักษะในการปรับตัว

ผู้นำจำเป็นต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทักษะในการปรับตัวที่ผู้นำควรมี ได้แก่

  • ทักษะในการยอมรับการเปลี่ยนแปลง หมายถึง ความสามารถในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
  • ทักษะในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง หมายถึง ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้นำสามารถพัฒนาทักษะในการปรับตัวได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

สรุป

ภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ ผู้นำจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ และปรับตัว เพื่อให้สามารถนำองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและประสบความสำเร็จ

นวัตกรรม FinTech
13, Oct 2023
นวัตกรรม FinTech: เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงิน

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วนของโลก ภาคการเงินก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ นวัตกรรมทางการเงินหรือ FinTech (Financial Technology) ได้เข้ามาพลิกโฉมการให้บริการทางการเงินแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นรูปแบบที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น

นวัตกรรม FinTech ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงิน

นวัตกรรม FinTech มีหลายประเภทที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงิน ดังนี้

  • Open Banking: Open Banking เป็นการเปิดกว้างของระบบธนาคารให้สถาบันการเงินและธุรกิจอื่นๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงยิ่งขึ้น
  • Blockchain: Blockchain เป็นเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นระบบบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และโปร่งใส ซึ่งสามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ การระดมทุนแบบ Initial Coin Offering (ICO) และการทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Finance: DeFi)
  • Artificial Intelligence (AI): AI หรือปัญญาประดิษฐ์สามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การให้คำแนะนำทางการเงินส่วนบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน
  • Machine Learning (ML): ML หรือการเรียนรู้ของเครื่องสามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การอนุมัติสินเชื่ออัตโนมัติ การให้คะแนนเครดิต และการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
  • Big Data: Big Data หรือข้อมูลขนาดใหญ่สามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การทำการตลาดทางการเงินแบบตรงเป้าหมาย การระบุความเสี่ยงทางการเงิน และการวิเคราะห์สภาพคล่องในตลาดการเงิน

ผลกระทบของนวัตกรรม FinTech ต่อภาคการเงิน

นวัตกรรม FinTech กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการเงินในหลายด้าน ดังนี้

  • เพิ่มการแข่งขันในภาคการเงิน: นวัตกรรม FinTech ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดการเงินได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกและลดต้นทุนให้กับผู้บริโภค
  • ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน: นวัตกรรม FinTech ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่ไม่มีประวัติทางการเงินที่ดี
  • เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน: นวัตกรรม FinTech ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินให้มีความรวดเร็ว ปลอดภัย และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

อนาคตของนวัตกรรม FinTech

นวัตกรรม FinTech ยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอนาคตเราจะได้เห็นนวัตกรรม FinTech ใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแบบส่วนบุคคล (Personalized Financial Services) การทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Finance: DeFi) และการนำ AI มาใช้ในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน

สรุป

นวัตกรรม FinTech กำลังเข้ามาพลิกโฉมการให้บริการทางการเงินแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นรูปแบบที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมเหล่านี้มีผลกระทบต่อภาคการเงินในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน คาดว่านวัตกรรม FinTech จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
20, Sep 2023
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในธุรกิจ: การนำทางผ่านปฏิวัติเทคโนโลยี

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล คือ กระบวนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจและการให้บริการลูกค้าไปอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย การขาย การตลาด ไปจนถึงการบริการลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสามารถมอบประโยชน์มากมายให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น

  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุน
  • ขยายตลาดและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า
  • สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลก็อาจนำไปสู่ความท้าทายต่าง ๆ เช่นกัน เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร
  • การขาดทักษะและความรู้ด้านดิจิทัล
  • ค่าใช้จ่ายในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้

ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

แนวทางในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ

การจะประสบความสำเร็จในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจนั้น ธุรกิจจำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินการได้อย่างเหมาะสม
  • สร้างแผนการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจควรสร้างแผนการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย การขาย การตลาด ไปจนถึงการบริการลูกค้า
  • สื่อสารและมีส่วนร่วมกับพนักงาน ธุรกิจควรสื่อสารและมีส่วนร่วมกับพนักงานในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีส่วนร่วมในการดำเนินการเปลี่ยนแปลง
  • วัดผลและประเมินผล ธุรกิจควรวัดผลและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการได้ตามความจำเป็น

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในธุรกิจ

ในปัจจุบัน ธุรกิจต่าง ๆ ได้เริ่มนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • ธุรกิจค้าปลีก ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การใช้ระบบอีคอมเมิร์ซ การใช้หุ่นยนต์ต้อนรับลูกค้า การใช้ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส
  • ธุรกิจบริการ ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การใช้ระบบ CRM การใช้ระบบ AI ในการให้บริการลูกค้า
  • ธุรกิจอุตสาหกรรม ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ การใช้ระบบ IoT ในการตรวจสอบเครื่องจักร

แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคต

แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคตมีดังนี้

  • เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ AI สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
  • เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการดำเนินธุรกิจ Cloud Computing ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านไอทีได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
  • เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจต่าง ๆ Blockchain ช่วยให้ธุรกิจสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจจึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

สรุป

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ธุรกิจจึงจำเป็นต้องวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้

Google Bard AI
4, Aug 2023
5 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นใช้ Google Bard AI

ในโลกยุคปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีและนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ นั้น นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นทักษะสำคัญที่จะทำให้คนทำงานได้เปรียบขึ้นหากมีความรู้ด้านนี้ติดตัว ดังนั้นการติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่น่าใช้งานในปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรมองข้าม ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในขณะนี้ก็คือ Google Bard AI 

ทำความรู้จักกับ Google Bard AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Google

Google Bard AI คือ AI Chatbot ที่ทาง Google พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านข้อมูลให้กับผู้ใช้บริการโดยการตอบคำถามผ่านการสนทนา หลายคนอาจไม่ทราบว่า AI Chatbot คือโปรแกรมอัจฉริยะที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Neuro – Linguistic – Programming : NLP) ทำให้มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ ผ่านทั้งทางข้อความที่พิมพ์เข้าไป เสียงพูด และรูปภาพ และสามารถตอบโต้กลับมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Google Bard AI

Google เปิดตัว Google Bard AI ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงแรกนั้นยังไม่ค่อยได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากยังมีปัญหาในการตอบคำถามค่อนข้างมาก คำตอบที่ได้ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลและไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ AI Chatbot อีกค่ายอย่าง Chat GPT แต่ทาง Google ก็ได้พยายามพัฒนา Bard อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม 2566 ได้มีการอัปเดต Bard ให้สามารถแปลภาษาได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เพิ่มขึ้น ตอบคำถามได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์และแม่นยำมากขึ้น 

และในเดือนกรกฎาคม 2566 Google ก็ได้เปิดตัว Google Bard AI เวอร์ชันภาษาไทย และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ รวมกันมากถึง 40 ภาษาทั่วโลก นอกจากนี้ยังเพิ่มศักยภาพด้วยการเพิ่มความสามารถในการตอบคำถามเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้หลักคณิตศาสตร์ในการประมวลผลข้อมูล การเขียนโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ภาษาต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดนี้ ทำให้ Google Bard กลายเป็น AI Chatbot ที่ได้รับความสนใจใช้งาน เรียกได้ว่าความนิยมเริ่มสูสีกับ Chat GPT เลยทีเดียว ต้องมาคอยจับตาดูกันต่อไปว่าในอนาคต AI Chatbot ของค่ายไหนจะเอาชนะใจผู้ใช้งานได้มากกว่ากัน

5 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นใช้ Google Bard AI

เมื่อทำความรู้จักกับ Google Bard AI กันไปพอสมควรแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่า 5 ข้อควรรู้ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งาน Google Bard มีอะไรกันบ้าง

1. Google Bard เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ที่ใช้ระบบประมวลผล Large Language Model (LLM) ที่ชื่อว่า PaLM2 โดย LLM คือ AI ที่สามารถสร้างรูปแบบสนทนาได้คล้ายกับมนุษย์ เนื่องจากได้รับการฝึกฝนและวิเคราะห์ด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้านจำนวนมหาศาล ทำให้มีคลังข้อมูลไว้คอยตอบคำถาม ตอบโต้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี แม้ว่า LLM จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ต้องพึงระวังในเรื่องของการใช้งานไว้ให้ดี เพราะในบางครั้ง LLM ก็อาจจะให้ข้อมูลผิดพลาด ชุดข้อมูลไม่อัปเดต หรืออาจยังไม่เข้าใจกับคำถามอย่างลึกซึ้ง ทำให้อาจจะตอบคำถามที่ซับซ้อนบางคำถามได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2. ทำความเข้าใจกับความสามารถและข้อจำกัดที่มีของ Google Bard AI ให้ถ่องแท้ เพื่อให้การใช้งานสามารถทำได้อย่างเต็มที่ และใช้งาน Bard เพื่อเป็นผู้ช่วยในด้านการทำงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณรู้ว่า Bard มีความสามารถในการแปลภาษาหรือตอบโต้ได้มากถึง 40 ภาษา คุณควรทราบว่ามีภาษาอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้สามารถเรียกใช้งาน Bard ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด

3. รู้วัตถุประสงค์ในการใช้งานทุก ๆ ครั้ง การใช้ Google Bard AI ให้ได้ประสิทธิภาพอย่างสูงสุด คุณจะต้องรู้ว่า จะใช้ให้ Bard ตอบอะไร และต้องการคำตอบแบบไหน เช่น คำตอบที่เป็นทางการ หรือเป็นกันเองเข้าใจง่าย การรู้วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จะช่วยให้ใช้ Bard ในการทำงานได้ตอบโจทย์และตรงจุดประสงค์ของคุณที่สุด

4. เรียนรู้การตั้งค่าตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีใน Google Bard และใช้อย่างชาญฉลาด อย่างที่รู้ว่า Google นั้นมีความพยายามพัฒนา Bard อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อัปเดตมาให้ใช้งานกันอยู่เสมอ ดังนั้นผู้ใช้งานจะต้องเรียนรู้ตัวเลือกการตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ ใน Bard เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

5. หมั่นตรวจสอบข้อมูลคำตอบที่ได้จาก Google Bard อย่างรอบคอบ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณให้ Google Bard เขียนบทความวิชาการให้ คุณต้องระลึกอยู่เสมอว่า ข้อมูลที่ Bard ให้มา มักจะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งฐานข้อมูล ดังนั้นอาจจะได้ข้อมูลที่ซ้ำกับคนอื่น มีลิขสิทธิ์ หรือในบางครั้งอาจได้ข้อมูลที่เป็นเท็จ จึงต้องหมั่นตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอยู่เสมอ ควรมีการตรวจสอบย้อนกลับคำตอบทุก ๆ ครั้ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

จะเห็นได้ว่า Google Bard AI นั้นเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพสูง เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเราจะให้ Google Bard ช่วยเราคิดงานได้อย่างรวดเร็ว แต่เราเองก็ยังจะต้องตรวจทานคำตอบ และเลือกคำตอบที่เหมาะสมต่อคำถามของเรามากที่สุดไปใช้งาน เท่านี้ก็จะสามารถใช้งาน Google Bard ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุดแล้ว