นวัตกรรม FinTech
13, Oct 2023
นวัตกรรม FinTech: เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงิน

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วนของโลก ภาคการเงินก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ นวัตกรรมทางการเงินหรือ FinTech (Financial Technology) ได้เข้ามาพลิกโฉมการให้บริการทางการเงินแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นรูปแบบที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น

นวัตกรรม FinTech ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงิน

นวัตกรรม FinTech มีหลายประเภทที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงิน ดังนี้

  • Open Banking: Open Banking เป็นการเปิดกว้างของระบบธนาคารให้สถาบันการเงินและธุรกิจอื่นๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงยิ่งขึ้น
  • Blockchain: Blockchain เป็นเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นระบบบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และโปร่งใส ซึ่งสามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ การระดมทุนแบบ Initial Coin Offering (ICO) และการทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Finance: DeFi)
  • Artificial Intelligence (AI): AI หรือปัญญาประดิษฐ์สามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การให้คำแนะนำทางการเงินส่วนบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน
  • Machine Learning (ML): ML หรือการเรียนรู้ของเครื่องสามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การอนุมัติสินเชื่ออัตโนมัติ การให้คะแนนเครดิต และการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
  • Big Data: Big Data หรือข้อมูลขนาดใหญ่สามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การทำการตลาดทางการเงินแบบตรงเป้าหมาย การระบุความเสี่ยงทางการเงิน และการวิเคราะห์สภาพคล่องในตลาดการเงิน

ผลกระทบของนวัตกรรม FinTech ต่อภาคการเงิน

นวัตกรรม FinTech กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการเงินในหลายด้าน ดังนี้

  • เพิ่มการแข่งขันในภาคการเงิน: นวัตกรรม FinTech ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดการเงินได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกและลดต้นทุนให้กับผู้บริโภค
  • ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน: นวัตกรรม FinTech ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่ไม่มีประวัติทางการเงินที่ดี
  • เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน: นวัตกรรม FinTech ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินให้มีความรวดเร็ว ปลอดภัย และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

อนาคตของนวัตกรรม FinTech

นวัตกรรม FinTech ยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอนาคตเราจะได้เห็นนวัตกรรม FinTech ใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแบบส่วนบุคคล (Personalized Financial Services) การทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Finance: DeFi) และการนำ AI มาใช้ในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน

สรุป

นวัตกรรม FinTech กำลังเข้ามาพลิกโฉมการให้บริการทางการเงินแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นรูปแบบที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมเหล่านี้มีผลกระทบต่อภาคการเงินในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน คาดว่านวัตกรรม FinTech จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
20, Sep 2023
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในธุรกิจ: การนำทางผ่านปฏิวัติเทคโนโลยี

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล คือ กระบวนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจและการให้บริการลูกค้าไปอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย การขาย การตลาด ไปจนถึงการบริการลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสามารถมอบประโยชน์มากมายให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น

  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุน
  • ขยายตลาดและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า
  • สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลก็อาจนำไปสู่ความท้าทายต่าง ๆ เช่นกัน เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร
  • การขาดทักษะและความรู้ด้านดิจิทัล
  • ค่าใช้จ่ายในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้

ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

แนวทางในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ

การจะประสบความสำเร็จในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจนั้น ธุรกิจจำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินการได้อย่างเหมาะสม
  • สร้างแผนการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจควรสร้างแผนการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย การขาย การตลาด ไปจนถึงการบริการลูกค้า
  • สื่อสารและมีส่วนร่วมกับพนักงาน ธุรกิจควรสื่อสารและมีส่วนร่วมกับพนักงานในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีส่วนร่วมในการดำเนินการเปลี่ยนแปลง
  • วัดผลและประเมินผล ธุรกิจควรวัดผลและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการได้ตามความจำเป็น

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในธุรกิจ

ในปัจจุบัน ธุรกิจต่าง ๆ ได้เริ่มนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • ธุรกิจค้าปลีก ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การใช้ระบบอีคอมเมิร์ซ การใช้หุ่นยนต์ต้อนรับลูกค้า การใช้ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส
  • ธุรกิจบริการ ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การใช้ระบบ CRM การใช้ระบบ AI ในการให้บริการลูกค้า
  • ธุรกิจอุตสาหกรรม ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ การใช้ระบบ IoT ในการตรวจสอบเครื่องจักร

แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคต

แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอนาคตมีดังนี้

  • เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ AI สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
  • เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการดำเนินธุรกิจ Cloud Computing ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านไอทีได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
  • เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจต่าง ๆ Blockchain ช่วยให้ธุรกิจสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจจึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

สรุป

การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ธุรกิจจึงจำเป็นต้องวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จในการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาใช้

Google Bard AI
4, Aug 2023
5 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นใช้ Google Bard AI

ในโลกยุคปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีและนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ นั้น นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นทักษะสำคัญที่จะทำให้คนทำงานได้เปรียบขึ้นหากมีความรู้ด้านนี้ติดตัว ดังนั้นการติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่น่าใช้งานในปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรมองข้าม ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในขณะนี้ก็คือ Google Bard AI 

ทำความรู้จักกับ Google Bard AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Google

Google Bard AI คือ AI Chatbot ที่ทาง Google พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านข้อมูลให้กับผู้ใช้บริการโดยการตอบคำถามผ่านการสนทนา หลายคนอาจไม่ทราบว่า AI Chatbot คือโปรแกรมอัจฉริยะที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Neuro – Linguistic – Programming : NLP) ทำให้มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ ผ่านทั้งทางข้อความที่พิมพ์เข้าไป เสียงพูด และรูปภาพ และสามารถตอบโต้กลับมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Google Bard AI

Google เปิดตัว Google Bard AI ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงแรกนั้นยังไม่ค่อยได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากยังมีปัญหาในการตอบคำถามค่อนข้างมาก คำตอบที่ได้ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลและไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ AI Chatbot อีกค่ายอย่าง Chat GPT แต่ทาง Google ก็ได้พยายามพัฒนา Bard อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม 2566 ได้มีการอัปเดต Bard ให้สามารถแปลภาษาได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เพิ่มขึ้น ตอบคำถามได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์และแม่นยำมากขึ้น 

และในเดือนกรกฎาคม 2566 Google ก็ได้เปิดตัว Google Bard AI เวอร์ชันภาษาไทย และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ รวมกันมากถึง 40 ภาษาทั่วโลก นอกจากนี้ยังเพิ่มศักยภาพด้วยการเพิ่มความสามารถในการตอบคำถามเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้หลักคณิตศาสตร์ในการประมวลผลข้อมูล การเขียนโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ภาษาต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดนี้ ทำให้ Google Bard กลายเป็น AI Chatbot ที่ได้รับความสนใจใช้งาน เรียกได้ว่าความนิยมเริ่มสูสีกับ Chat GPT เลยทีเดียว ต้องมาคอยจับตาดูกันต่อไปว่าในอนาคต AI Chatbot ของค่ายไหนจะเอาชนะใจผู้ใช้งานได้มากกว่ากัน

5 ข้อควรรู้ ก่อนเริ่มต้นใช้ Google Bard AI

เมื่อทำความรู้จักกับ Google Bard AI กันไปพอสมควรแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่า 5 ข้อควรรู้ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งาน Google Bard มีอะไรกันบ้าง

1. Google Bard เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ที่ใช้ระบบประมวลผล Large Language Model (LLM) ที่ชื่อว่า PaLM2 โดย LLM คือ AI ที่สามารถสร้างรูปแบบสนทนาได้คล้ายกับมนุษย์ เนื่องจากได้รับการฝึกฝนและวิเคราะห์ด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้านจำนวนมหาศาล ทำให้มีคลังข้อมูลไว้คอยตอบคำถาม ตอบโต้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี แม้ว่า LLM จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ต้องพึงระวังในเรื่องของการใช้งานไว้ให้ดี เพราะในบางครั้ง LLM ก็อาจจะให้ข้อมูลผิดพลาด ชุดข้อมูลไม่อัปเดต หรืออาจยังไม่เข้าใจกับคำถามอย่างลึกซึ้ง ทำให้อาจจะตอบคำถามที่ซับซ้อนบางคำถามได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2. ทำความเข้าใจกับความสามารถและข้อจำกัดที่มีของ Google Bard AI ให้ถ่องแท้ เพื่อให้การใช้งานสามารถทำได้อย่างเต็มที่ และใช้งาน Bard เพื่อเป็นผู้ช่วยในด้านการทำงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณรู้ว่า Bard มีความสามารถในการแปลภาษาหรือตอบโต้ได้มากถึง 40 ภาษา คุณควรทราบว่ามีภาษาอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้สามารถเรียกใช้งาน Bard ให้ตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด

3. รู้วัตถุประสงค์ในการใช้งานทุก ๆ ครั้ง การใช้ Google Bard AI ให้ได้ประสิทธิภาพอย่างสูงสุด คุณจะต้องรู้ว่า จะใช้ให้ Bard ตอบอะไร และต้องการคำตอบแบบไหน เช่น คำตอบที่เป็นทางการ หรือเป็นกันเองเข้าใจง่าย การรู้วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จะช่วยให้ใช้ Bard ในการทำงานได้ตอบโจทย์และตรงจุดประสงค์ของคุณที่สุด

4. เรียนรู้การตั้งค่าตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีใน Google Bard และใช้อย่างชาญฉลาด อย่างที่รู้ว่า Google นั้นมีความพยายามพัฒนา Bard อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อัปเดตมาให้ใช้งานกันอยู่เสมอ ดังนั้นผู้ใช้งานจะต้องเรียนรู้ตัวเลือกการตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ ใน Bard เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

5. หมั่นตรวจสอบข้อมูลคำตอบที่ได้จาก Google Bard อย่างรอบคอบ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณให้ Google Bard เขียนบทความวิชาการให้ คุณต้องระลึกอยู่เสมอว่า ข้อมูลที่ Bard ให้มา มักจะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งฐานข้อมูล ดังนั้นอาจจะได้ข้อมูลที่ซ้ำกับคนอื่น มีลิขสิทธิ์ หรือในบางครั้งอาจได้ข้อมูลที่เป็นเท็จ จึงต้องหมั่นตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอยู่เสมอ ควรมีการตรวจสอบย้อนกลับคำตอบทุก ๆ ครั้ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

จะเห็นได้ว่า Google Bard AI นั้นเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพสูง เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเราจะให้ Google Bard ช่วยเราคิดงานได้อย่างรวดเร็ว แต่เราเองก็ยังจะต้องตรวจทานคำตอบ และเลือกคำตอบที่เหมาะสมต่อคำถามของเรามากที่สุดไปใช้งาน เท่านี้ก็จะสามารถใช้งาน Google Bard ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุดแล้ว